อานันทเศรษฐี

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕เรื่องอานนทเศรษฐี [๔๗]              
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุตฺตามตฺถิ ธนมตฺถิ" เป็นต้น.

               อานนทเศรษฐีสั่งสอนบุตรให้ตระหนี่               
               ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี เศรษฐีชื่ออานนท์ มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ (แต่) เป็นคนตระหนี่มาก. อานนทเศรษฐีนั้นให้พวกญาติประชุมกันทุกกึ่งเดือนแล้ว กล่าวสอนบุตร (ของตน) ผู้ชื่อว่ามูลสิริ ใน ๓ เวลาอย่างนี้ว่า "เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่า ทรัพย์ ๔๐ โกฏินี้มาก’, เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่, ควรยังทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้น, เพราะเมื่อบุคคลทำกหาปณะแม้หนึ่งๆ ให้เสื่อมไป ทรัพย์ย่อมสิ้นด้วยเหมือนกัน; เพราะเหตุนั้น
                         บุคคลผู้ฉลาดพึงเห็นความสิ้นแห่งยาสำหรับ
               หยอด (ตา) ความก่อขึ้นแห่งตัวปลวกทั้งหลาย และ
               การประมวลมาแห่งตัวผึ้งทั้งหลาย พึงอยู่ครองเรือน.

               อานนทเศรษฐีตายไปเกิดในตระกูลคนจัณฑาล               
               โดยสมัยอื่นอีก อานนทเศรษฐีนั้นไม่บอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งของตนแก่บุตร อาศัยทรัพย์ มีความหม่นหมองเพราะมลทิน คือความตระหนี่ ทำกาละแล้ว, ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงจัณฑาลคนหนึ่ง ในจำพวกจัณฑาลพันตระกูล ที่อยู่อาศัยในบ้านใกล้ประตูแห่งหนึ่ง แห่งพระนครนั้นนั่นเอง.
               พระราชาทรงทราบการทำกาละของอานนทเศรษฐีแล้ว รับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้บุตรของเขามา ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเศรษฐี.
               ตระกูลแห่งคนจัณฑาลตั้งพันแม้นั้น ทำงานเพื่อค่าจ้างโดยความเป็นพวกเดียวกันเทียว เป็นอยู่ จำเดิมแต่กาลถือปฏิสนธิของทารกนั้น ย่อมไม่ได้ค่าจ้างเลย ทั้งไม่ได้ แม้ก้อนข้าวเกินไปกว่าอาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไป.
               พวกเขากล่าวว่า "บัดนี้ เราทั้งหลายแม้ทำการงานอยู่ ย่อมไม่ได้อาหารสักว่าก้อนข้าว, หญิงกาลกิณีพึงมีในระหว่างเราทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว จึงแยกกันออกเป็น ๒ พวก จนแยกมารดาบิดาของทารกนั้นอยู่แผนกหนึ่งต่างหาก, ไล่มารดาของทารกนั้นออก ด้วยคิดว่า "หญิงกาลกิณีเกิดในตระกูลนี้."
               ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด, หญิงนั้นได้อาหาร แม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น คลอดบุตรแล้ว. ทารกนั้นได้มีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ. ทารกนั้นประกอบด้วยความวิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น ได้มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น.
               แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ไม่ละบุตรนั้น.
               จริงอยู่ มารดาย่อมมีความเยื่อใยเป็นกำลังในบุตรที่อยู่ในท้อง. นางเลี้ยงทารกนั้นอยู่โดยฝืดเคือง, ในวันที่พาเขาไป ไม่ได้อะไรๆ เลย, ในวันที่ให้เขาอยู่บ้านแล้วไปเองนั่นแล จึงได้ค่าจ้าง.

               มารดาปล่อยบุตรไปขอทานเลี้ยงชีพเอง               
               ต่อมา ในกาลที่ทารกนั้นสามารถเที่ยวไป เพื่อก้อนข้าวเลี้ยงตัวได้ นางวางกระเบื้องไว้บนมือแล้ว กล่าวกะบุตรนั้นว่า "พ่อ แม่อาศัยเจ้า ถึงความลำบากมาก, บัดนี้ แม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้, อาหารวัตถุทั้งหลายมีข้าวเป็นต้นที่เขาจัดไว้ เพื่อคนทั้งหลายมีคนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น มีอยู่ในนครนี้, เจ้าจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาในนครนั้นเลี้ยงชีพเถิด." ดังนี้แล้ว ปล่อยบุตรนั้นไป.
               ทารกนั้นเที่ยวไปตามลำดับเรือน ถึงที่แห่งตนเกิดในคราวเป็นอานนทเศรษฐีแล้ว เป็นผู้ระลึกชาติได้ เข้าไปสู่เรือนของตน. ใครๆ ไม่ได้สังเกตเขาในซุ้มประตูทั้งสาม ในซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็น (เขา) แล้วมีใจหวาดเสียวร้องไห้แล้ว.
               ลำดับนั้น พวกบุรุษของเศรษฐีกล่าวกะทารกนั้นว่า "เองจงออกไป คนกาลกิณี" โบยพลางนำออกไปโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ.

               พระศาสดาแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐี               
               พระศาสดามีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จบิณฑบาตถือที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระเถระ อันพระเถระนั้นทูลถามแล้ว ตรัสบอกพฤติการณ์นั้น,
               พระเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว. หมู่มหาชนประชุมกันแล้ว.
               พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว ตรัสถามว่า "ท่านรู้จักทารกนั่นไหม?" เมื่อมูลสิริเศรษฐีนั้นทูลว่า "ไม่รู้จัก" จึงตรัสว่า "ทารกนั้น คืออานนทเศรษฐีผู้บิดาของท่าน" แล้วยังทารกนั้นให้บอก (ขุมทรัพย์) ด้วยพระดำรัสว่า "อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตรของท่าน" แล้วทรงยังมูลสิริเศรษฐีผู้ไม่เชื่ออยู่นั้นให้เชื่อแล้ว. มูลสิริเศรษฐีนั้นได้ถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐีนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- 
                         ๓. 
ปุตฺตา มตฺถิ ธนมตฺถิ                
อิติ พาโล วิหญฺญติ
                         
อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ
กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ.
                         
คนพาล ย่อมเดือดร้อนว่า บุตรทั้งหลายของเรามีอยู่,
                         
ทรัพย์ (ของเรา) มีอยู่’, ตนแลย่อมไม่มีแก่ตน, บุตร
                         
ทั้งหลายจักมีแต่ที่ไหน? ทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน?

               แก้อรรถ               

               พึงทราบเนื้อความแห่งคาถานั้นว่า :-
               "คนพาลย่อมเดือดร้อนด้วยความอยากในบุตร และด้วยความอยากในทรัพย์ว่า บุตรทั้งหลายของเรามีอยู่, ทรัพย์ของเรามีอยู่’, คือย่อมลำบาก ย่อมถึงทุกข์, คือย่อมเดือดร้อนว่า บุตรทั้งหลายของเราฉิบหายแล้ว’, ย่อมเดือดร้อนว่า ฉิบหายอยู่’, ย่อมเดือดร้อนว่า จักฉิบหาย."
               แม้ในทรัพย์ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               คนพาลย่อมเดือดร้อนด้วยอาการ ๖ อย่าง ด้วยประการฉะนี้,
               คนพาล แม้พยายามอยู่ในที่ทั้งหลายมีทางบกและทางน้ำเป็นต้น ทั้งกลางคืนและกลางวันโดยประการต่างๆ ด้วยคิดว่า เราจักเลี้ยงบุตรทั้งหลายชื่อว่าย่อมเดือดร้อน,
               แม้ทำกรรมทั้งหลายมีการทำนาและการค้าขายเป็นต้น ด้วยคิดว่า เราจักยังทรัพย์ให้เกิดขึ้นชื่อว่าย่อมเดือดร้อนเหมือนกัน;
               ก็เมื่อเขาเดือดร้อนอยู่อย่างนี้ ตนแลชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน,
               เมื่อเขาไม่อาจทำตนที่ถึงทุกข์ด้วยความคับแค้นนั้นให้ถึงสุขได้ แม้ในปัจจุบันกาล ตนของเขาแล ชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน,
               เมื่อเขานอนแล้วบนเตียงเป็นที่ตาย ถูกเวทนาทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุด เผาอยู่ราวกะว่าถูกเปลวเพลิงเผาอยู่ เมื่อเครื่องต่อและเครื่องผูก (เส้นเอ็น) จะขาดไป เมื่อร่างกระดูกจะแตกไป แม้เมื่อเขาหลับตาเห็นโลกหน้า ลืมตาเห็นโลกนี้อยู่
               ตนแล แม้อันเขาให้อาบน้ำวันละ ๒ ครั้ง ให้บริโภควันละ ๓ ครั้ง ประดับด้วยของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น เลี้ยงแล้วตลอดชีวิต ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน
               เพราะความที่ตนเป็นผู้ไม่สามารถจะทำเครื่องต้านทานทุกข์ โดยความเป็นสหายได้, บุตรจักมีแต่ที่ไหน? ทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน?
               คือว่าในสมัยนั้น บุตรหรือทรัพย์จักทำอะไรได้เล่า? แม้เมื่ออานนทเศรษฐีไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ รวบรวมทรัพย์ไว้เพื่อประโยชน์แก่บุตร นอนบนเตียงเป็นที่ตายในกาลก่อนก็ดี ถึงทุกข์นี้ในบัดนี้ก็ดี, บุตรแต่ที่ไหน? ทรัพย์แต่ที่ไหน? คือว่าบุตรหรือทรัพย์นำทุกข์อะไรไปได้? หรือให้สุขอะไรเกิดขึ้นได้เล่า?"
               ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐.
               เทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตำนานแม่กาเผือก

ดอกไม้ ดอกไม้ในสวยดอก ดอกไม้ในขันแก้วทั้งสาม ศรัทธาที่มีต่อพระรัตนตรัย

เจดีย์ทราย ตุงสงกรานต์ สัญลักษณ์ความรักความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย