ข้าว ประเพณีเกี่ยวข้าว ลงแขก สามัคคีธรรม พลังแห่งหมู่คณะ
ข้าว
เป็นปัจจัยหลักในการบริโภคในชีวิตประจำวัน การปลูกข้าวจึงมีความสำคัญต่อคนไทย
วิถีชีวิตของคนไทยจึงผูกพันอยู่กับข้าว ก่อให้เกิดพิธีกรรมเกี่ยวกับการปลูกข้าวหรือการทำนา
ประเพณีลงแขกจึงเป็นประเพณีที่สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการทำนาข้าว
โดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้
การดำนา เกี่ยวข้าว นวดข้าว
และการเก็บข้าวขึ้นยุ้งฉาง
แต่ละลำดับขั้นตอนมีความสำคัญมาก ล้วนแต่เป็นงานที่หนักและต้องใช้กำลังคนเป็นจำนวนมาก
จึงต้องมีการร่วมมือร่วมใจสามัคคีเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว จึงเป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างความสมัครสมานสามัคคี และแสดงน้ำใจที่มีให้กันในการอยู่ร่วมกันในชุมชน
- ตอนที่ 1 ประเพณีการเกี่ยวข้าว
ประเพณีเกี่ยวข้าวภาคกลาง
การลงแขกเกี่ยวข้าวภาคกลาง มีขึ้นในช่วงเดือนอ้ายและเดือนยี่
ชาวนาจะมาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยกันเกี่ยวข้าว ด้วยการเริ่มต้นเข้าแถวเรียงหน้ากระดาน และเกี่ยวในแนว
ของตน จากนั้นช่วยกันรวบรวมมัดกำข้าวเป็นฟ่อน ๆ รวมกันหาบเข้าสู่ลานข้าว
ของตน จากนั้นช่วยกันรวบรวมมัดกำข้าวเป็นฟ่อน ๆ รวมกันหาบเข้าสู่ลานข้าว
มีการเก็บรวงข้าวที่ตกอยู่ในนา เรียกว่า “อัญเชิญแม่โพสพ“
ประเพณีการเกี่ยวข้าวภาคเหนือ
เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ในทางภาคเหนือ
เมื่อข้าวในนาเหลืองอร่ามเต็มที่ จะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวที่เรียกกันว่า
“เก็บข้าวเอาเฟือง” หมายถึงการเกี่ยวข้าวเพื่อเอาฟางข้าว
“เก็บข้าวเอาเฟือง” หมายถึงการเกี่ยวข้าวเพื่อเอาฟางข้าว
ชาวบ้านจะทำการลงแขกคือผลัดกันไปช่วยเกี่ยวข้าวในแปลงนาของเพื่อนบ้านให้เสร็จเป็นราย ๆไป
ในการเกี่ยวข้าวนั้น
นิยมเกี่ยวข้าวเรียงคนให้เป็นหน้ากระดาน เสร็จเป็นแต่ละกระทงนาไป
ประเพณีเกี่ยวข้าวภาคใต้
ประเพณีลงแขกเก็บข้าว (เกี่ยวข้าว) ด้วยแกะ
ซึ่งเป็นวิธีการเก็บข้าวของชาวนาในภาคใต้ตั้งแต่บรรพบุรุษ
โดยจะใช้แกะเก็บทีละรวงแล้วนำมามัดเป็นเลียง โดยใช้ต้นข้าวมัดแทนเชือกการเก็บข้าวด้วย
และแกะยังเป็นเอกลักษณะที่มีเฉพาะในภาคใต้เท่านั้น
โดยจะใช้แกะเก็บทีละรวงแล้วนำมามัดเป็นเลียง โดยใช้ต้นข้าวมัดแทนเชือกการเก็บข้าวด้วย
และแกะยังเป็นเอกลักษณะที่มีเฉพาะในภาคใต้เท่านั้น
ประเพณีการเกี่ยวข้าวภาคอีสาน
ประเพณีลงแขก การเก็บเกี่ยวข้าว
ปกติจะเริ่มเก็บเกี่ยวราวปลายเดือนพฤศจิกายน
เพื่อให้การเก็บเกี่ยวข้าวรวดเร็วขึ้น ชาวนาจะใช้วิธีลงแขก อันเป็นการเอาแรงผลัดกันช่วยทำงาน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยชาวนาจะส่งลูกหลานในครอบครัว ไปช่วยครอบครัวอื่นที่นาข้าวสุก
พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้
ในโอกาสต่อไป เมื่อข้าวในนาของตนเองสุก
ชาวนาที่เคยไปเอาแรงก็จะส่งบุคคลในครอบครัวมาช่วยกันเกี่ยว
ผู้ที่มาช่วยเกี่ยวเรียกว่าแขก โดยเกี่ยวข้าวเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
ใครเกี่ยวได้แนวจดคันนาแล้วก็หยุดพัก รอคอยคนอื่นซึ่งเกี่ยวแนวของตนมายังไม่ถึง
เมื่อเกี่ยวเสร็จทุกคน แล้วจึงจะไปเกี่ยวตอนอื่นๆต่อไป
เพื่อให้การเก็บเกี่ยวข้าวรวดเร็วขึ้น ชาวนาจะใช้วิธีลงแขก อันเป็นการเอาแรงผลัดกันช่วยทำงาน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยชาวนาจะส่งลูกหลานในครอบครัว ไปช่วยครอบครัวอื่นที่นาข้าวสุก
พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้
ในโอกาสต่อไป เมื่อข้าวในนาของตนเองสุก
ชาวนาที่เคยไปเอาแรงก็จะส่งบุคคลในครอบครัวมาช่วยกันเกี่ยว
ผู้ที่มาช่วยเกี่ยวเรียกว่าแขก โดยเกี่ยวข้าวเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
ใครเกี่ยวได้แนวจดคันนาแล้วก็หยุดพัก รอคอยคนอื่นซึ่งเกี่ยวแนวของตนมายังไม่ถึง
เมื่อเกี่ยวเสร็จทุกคน แล้วจึงจะไปเกี่ยวตอนอื่นๆต่อไป
- ตอนที่ 2 ประเพณีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว
หลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวในทุกภาค ชาวนาจะทำบุญถวายข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่
อุทิศให้กับบรรพบุรุษที่ตนเองได้รับช่วงผืนนา
ทำบุญถึงปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ที่เป็นเจ้าของไร่เจ้าของนามาแต่เดิม
ทำบุญให้กับแม่โพสพที่เชื่อกันว่าเป็นเทวดาที่ดูแลผืนนา
มีการนำข้าวใหม่มาทำบุญถวายพระ
อุทิศให้กับบรรพบุรุษที่ตนเองได้รับช่วงผืนนา
ทำบุญถึงปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ที่เป็นเจ้าของไร่เจ้าของนามาแต่เดิม
ทำบุญให้กับแม่โพสพที่เชื่อกันว่าเป็นเทวดาที่ดูแลผืนนา
มีการนำข้าวใหม่มาทำบุญถวายพระ
ในการถวายข้าวที่เก็บเกี่ยวขึ้นมาใหม่นั้น
วัดจะมีการปูเสื่อกลางวิหารที่จะมีพิธีกรรมในการถวายข้าวใหม่
มีการวางบาตรพระเพื่อให้ชาวบ้านนำข้าวมาใส่ในบาตรจนล้นออกนอกบาตร
มักจะเป็นข้าวเปลือกหนึ่งจุด และข้าวสารหนึ่งจุด
การตักบาตรข้าวล้นบาตร
การตักบาตรข้าวล้นบาตรนี้ มีจุดประสงค์เพื่อถวายพระในยามที่ฝนตกหนัก อาจจะไปบิณฑบาตรไม่ได้
และเพื่อให้กับชาวบ้านผู้ยากไร้ หรือชาวนาที่พืชผลการผลิตไม่ดีในปีนั้น ๆ
การตักข้าวล้นบาตรถือกันว่าเป็นการถวายกุศลให้กับแม่โพสพ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อผู้ยากไร้ที่อาศัยในชุมชนนั้น ๆ
พิธีกรรมนี้ ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความเอื้อเฟื้อต่อกัน
กิจกรรมที่กระทำมีวัดเป็นศูนย์กลาง และเป็นการรวมสมาชิกของชุมชนอีกด้วย
ประเพณีบุญคูณลาน
ประเพณีการสู่ขวัญข้าวของชาวอีสาน จัดขึ้นในเดือนยี่ เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนยี่"
เป็นการเก็บเกี่ยวข้าวมากองที่ลานนวดข้าวให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นวันที่ทำบุญใหญ่
มีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวด รวมทั้งการเชื้อเชิญสมาชิกในชุมชนเข้ามาร่วมกิจกรรม
ในบางพื้นที่มีการจัดบุณคูณลานที่วัด เป็นการทำบุญให้กับแม่โพสพ
ทำบุญอุทิศให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป
และเป็นการรวมตัวของสมาชิกในชุมชน ที่ร่วมมือร่วมใจในการลงแขกข้าวจนสำเร็จในที่สุด
- ตอนที่ 3 สามัคคีธรรม พลังแห่งความสำเร็จ
การลงแขก
เป็นวัฒนธรรมประเพณีแห่งความเอื้อเฟื้อและเกื้อกูลกันของสังคมไทยทุกภาค
การร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ก่อให้เกิดพลังที่ทำให้ไปสู่ความสำเร็จ
เป็นพลังที่เรียกกันว่าทำงานร่วมกันเป็นทีม
การร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ก่อให้เกิดพลังที่ทำให้ไปสู่ความสำเร็จ
เป็นพลังที่เรียกกันว่าทำงานร่วมกันเป็นทีม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน วินัยปิฎก
จุลลวรรค ความว่า
“สุขา สงฺฆสฺส
สามคฺคี สมคฺคานญฺจนุคฺคโห
สมคฺครโต
ธมฺมฏฺโฐ โยคกฺเขมา น ธํสติ
สงฺฆํ สมคฺคํ
กตฺวาน กปฺปํ สคฺคมฺหิ โมทติ
ความพร้อมเพรียงของหมู่ ให้เกิดสุข การสนับสนุนผู้พร้อมเพรียงกัน
เป็นเหตุแห่งความสุข
บุคคลผู้ยินดีในความพร้อมเพรียง ตั้งมั่นอยู่ในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
นรชนผู้สมานหมู่คณะ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว ย่อมบันเทิงในสุคติสวรรค์ตลอดกัป”
หลักธรรมที่ก่อให้เกิดความสามัคคีต่อหมู่คณะและชุมชน คือ
อปริหานิยธรรม 7 ของกษัตริย์วัชชี หรือ วัชชีอปริหานิยธรรม 7 ข้อ ประกอบด้วย
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
ข้อนี้แปลอีกอย่างหนึ่งว่า : พร้อมเพรียงกันลุกขึ้นป้องกันบ้านเมือง พร้อมเพรียงกันทำกิจทั้งหลาย
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการ
เดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
4. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่ง
อันควรรับฟัง
5. บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
6. เคารพสักการะบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ) ของวัชชี (ประจำ
ชาติ) ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้น
เสื่อมทรามไป
7. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้กินความกว้าง
หมายถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป) ตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้
มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก
อปริหานิยธรรม 7 ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่เจ้าวัชชีทั้งหลาย
ผู้ปกครองรัฐโดยระบอบสามัคคีธรรม ซึ่งรัฐคู่อริยอมรับว่า
เมื่อชาววัชชียังปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ จะเอาชนะด้วยการรบไม่ได้
นอกจากจะใช้การเกลี้ยกล่อมหรือยุแยกให้แตกสามัคคี
สังคมเกษตรกรรมในยุคเก่าได้เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันชาวนาได้มีการเกี่ยวข้าวโดยใช้รถเกี่ยวข้าว
การลงแขกดั้งเดิมสูญหายไปบ้าง แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ "ข้าว "ยังคงอยู่
ดังเช่น ประเพณีการตักข้าวล้นบาตร ประเพณีบุญคูณลาน ประเพณีในภาคอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับ " ข้าว "
ประเพณีเหล่านี้มี "วัด " เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความสามัคคี
อันเป็นพลังที่ทำให้สังคมชุมชนเข้มแข็ง นำไปสู่การพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
Cr.Arayadusit
บุคคลผู้ยินดีในความพร้อมเพรียง ตั้งมั่นอยู่ในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
นรชนผู้สมานหมู่คณะ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว ย่อมบันเทิงในสุคติสวรรค์ตลอดกัป”
หลักธรรมที่ก่อให้เกิดความสามัคคีต่อหมู่คณะและชุมชน คือ
อปริหานิยธรรม 7 ของกษัตริย์วัชชี หรือ วัชชีอปริหานิยธรรม 7 ข้อ ประกอบด้วย
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
ข้อนี้แปลอีกอย่างหนึ่งว่า : พร้อมเพรียงกันลุกขึ้นป้องกันบ้านเมือง พร้อมเพรียงกันทำกิจทั้งหลาย
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการ
เดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
4. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่ง
อันควรรับฟัง
5. บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
6. เคารพสักการะบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ) ของวัชชี (ประจำ
ชาติ) ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้น
เสื่อมทรามไป
7. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้กินความกว้าง
หมายถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป) ตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้
มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก
อปริหานิยธรรม 7 ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่เจ้าวัชชีทั้งหลาย
ผู้ปกครองรัฐโดยระบอบสามัคคีธรรม ซึ่งรัฐคู่อริยอมรับว่า
เมื่อชาววัชชียังปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ จะเอาชนะด้วยการรบไม่ได้
นอกจากจะใช้การเกลี้ยกล่อมหรือยุแยกให้แตกสามัคคี
สังคมเกษตรกรรมในยุคเก่าได้เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันชาวนาได้มีการเกี่ยวข้าวโดยใช้รถเกี่ยวข้าว
การลงแขกดั้งเดิมสูญหายไปบ้าง แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ "ข้าว "ยังคงอยู่
ดังเช่น ประเพณีการตักข้าวล้นบาตร ประเพณีบุญคูณลาน ประเพณีในภาคอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับ " ข้าว "
ประเพณีเหล่านี้มี "วัด " เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความสามัคคี
อันเป็นพลังที่ทำให้สังคมชุมชนเข้มแข็ง นำไปสู่การพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
Cr.Arayadusit
References:
พระไตรปิฏกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2539.โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณ่ภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต )
พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุตโต ) อปริหานิยธรรม
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณ่ภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต )
พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุตโต ) อปริหานิยธรรม
ประกอบ มีโคตรกอง,ผศ
.2558.การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมข้าวของชาวเกษตรกร
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
ตอบลบ